บทความเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

บทความเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
แมกซ์เวลล์ได้เสนอต่อไปว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าพร้อมกันและต่อเนื่องแล้ว จะเป็นผลให้การเหนี่ยวนำสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กแผ่ออกไปเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วแสง และแมกซ์เวลล์สรุปว่า แสงคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การแผ่กระจายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเปรียบเทียบได้กับการแผ่กระจายของคลื่นน้ำที่แผ่ออกจากจุดที่กระทุ่มน้ำ โดย สมมติให้ ลวดตัวนำ คู่หนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดคลื่น ที่ต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ สมมติว่ามีเพียงประจุเดียวอยู่ที่ลวดตัวนำแต่ละเส้น แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับทำให้ประจุบวกและลบเคลื่อนที่ในตัวกลับไปกลับมา เป็นผลให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกมา
การเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามหลักของแมกซ์เวลล์ อธิบายได้ว่า เกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุที่ถูกเร่ง ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกจากลวดตัวนำทุกทิศทาง ยกเว้นทิศที่อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกับลวดตัวนำนั้น
เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน กล่าวคือ สนามทั้งสองจะมีค่าสูงสุดพร้อมกันและต่ำสุดพร้อมกัน นั่นคือ ทั้งสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กมีเฟสตรงกัน โดยทิศของสนามไฟฟ้าจะตั้งฉากกับทิศของสนามแม่เหล็ก และสนามทั้งสองมีทิศตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
สรุปลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
1. การเปลี่ยนแปลงค่าของสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้นสนามทั้งสองจึงมีค่าสูงสุดและต่ำสุดพร้อมๆกัน หรือมีเฟสตรงกัน
2. ทิศของสนามแม่เหล็กและทิศของสนามไฟฟ้าจะตั้งฉากซึ่งกันและกัน และตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นซึ่งมีลักษณะเป็นคลื่นตามขวาง
3. ณ บริเวณใดมีคลื่นไฟฟ้าผ่านบริเวณนั้นจะมีสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าทันที
4. อนุภาคที่มีประจุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่คงที่ จะมีการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา
  การศึกษาที่ผ่านมา  คลื่นผิวน้ำและคลื่นเสียงเป็นคลื่นกลที่เคลื่อนที่โดยอาศัยตัวกลาง  ยังมีคลื่นอีกชนิดหนึ่งที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง  คือ  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  (electromagnetic  wave)

             คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ทิศของสนามทั้งสองตั้งฉากกันและตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่  
การทดลองของเฮิรตซ์
เฮิรตซ์ ได้ทดลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ โดยใช้ขดลวดเหนี่ยวนำที่ให้ค่าความต่างศักย์สูงเชื่อมต่อกับโลหะทรงกลม 2 ลูกซึ่งวางใกล้กันมาก จะมีหน้าที่คล้ายกับตัวเก็บประจุ อุปกรณ์ชิ้นนี้คล้ายกับวงจร LC ของเครื่องส่งคลื่นวิทยุ การออสซิลเลตของคลื่นทำได้โดย ป้อนความต่างศักย์เป็นช่วงคลื่นสั้นๆ เข้าไปที่ขดลวดตัวนำ จะเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ประมาณ 100 MHz จากนั้นเฮริตซ์สร้างวงจรขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ประกอบด้วยขดลวดเพียงขดเดียว ที่ปลายขดลวดมีทรงกลมตัวนำวางไว้ใกล้กัน วงจรชุดนี้ทำหน้าที่คล้ายเครื่องรับคลื่น
เฮิรตซ์พบอีกว่าวงจรรับคลื่น จะสามารถรับคลื่นได้ก็ต่อเมื่อ ความถี่ที่ส่งมานั้นเป็นความถี่รีโซแนนซ์ของวงจรรับคลื่นพอดี ถ้าความต่างศักย์บนขดลวดชุดรับคลื่นมีค่าสูง จะทำให้เกิดประกายไฟข้ามไปมาระหว่างทรงกลมทั้งสอง
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า พลังงานสามารถส่งผ่านจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้โดยอยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

             จากการศึกษายังพบว่า  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงความถี่ต่างๆ  มีลักษณะเฉพาะตัว  จึงมีชื่อเรียกต่างกัน  เมื่อเรียงลำดับจากความถี่ต่ำไปความถี่สูงจะได้ดังนี้  คลื่นวิทยุ  ไมโครเวฟ  รังสีอินฟราเรด  แสงที่ตามองเห็ฯ  รังสีอัลตราไวโอเลต  รังสีเอกซ์  และรังสีแกมมา  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกช่วงที่มีความถี่ที่ต่อเนื่องกัน  รวมเรียกว่า  สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic  spectrum)
หน่วยของความถี่ 
        ความถี่มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์  (Hz)  นอกจากนี้ยังมีหน่วย กิโลเฮิรตซ์  (kHz)  เมกะเฮิรตซ์  (MHz)  และจิกะเฮิรตซ์  (GHz)  โดยมีวคามสัมพันธ์กันดังนี้
               1 kHz    =  1000  Hz      =   103  Hz
               1 MHz   =  1000  kHz   =  106  Hz
               1 GHz   =  1000  MHz  =   109 Hz

 ในธรรมชาติมีแหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากมาย  เช่น  ดวงอาทิตย์  ดาวฤกษ์อื่นๆ  และแร่ธาตุบางชนิด  มนุษย์ยังใช้ความรู้ความสามารถประดิษฐ์เครื่องกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกมาก  ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง  อย่างไรก็ตาม  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีทั้งประโยชน์และโทษ  จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง

             คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์มากในชีวิจประจำวันคือ  คลื่นวิทยุ   (radio  wave)  ซึ่งมีความถี่ในช่วง   104  ถึง   109  เฮิรตซ์   เป็นคลื่นที่ใช้ในการส่งข่าวสารและสาระบันเทิง  ทำการส่งได้โดยเปลี่ยนเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า  แล้วผสมกับคลื่นวิทยุซึ่งทำหน้าที่เป็นคลื่นพาหะคลื่นที่ผสมแล้วจะถูกขยายให้มีกำลังสูงขึ้น  แล้วส่งไปยังสายอากาศเพื่อกระจายคลื่นไปยังเครื่องรับวิทยุ

การผสมสัญญาณเสียงกับคลื่นวิทยุมี  2  ระบบคือ  เอเอ็ม  (AM :  Amplitude  Modulation)  และเอฟเอ็ม  (FM:  Frequency  Modulation)  การผสมคลื่นระบบ  AM  แอมพลิจูดของคลื่นพาหะจะเปลี่ยนตามคลื่นเสียง  ส่วนความถี่ของคลื่นพาหะไม่เปลี่ยน  โดยส่งกระจายเสียงด้วยความถี่  530-1,600  กิโลเฮิรตซ์  ส่วนการผสมคลื่นระบบ  FM  แอมพลิจูดของคลื่นพาหะไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ความถี่ของคลื่นพาหะเปลี่ยนแปลงตามคลื่นเสียง  ส่งกระจายเสียงด้วยความถี่  88 - 108  เมกะเฮิรตซ์ 

   นอกจากนี้ยังอาจส่งกระจายเสียงโดยใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงกว่าเล็กน้อย  คือ  ประมาณ  2 -30 เมกะเฮิรตซ์  เรียกว่า  คลื่นสั้น  หรือ ชอร์ทเวฟ  มักใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศ
 การใช้งานคลื่นวิทยุและไมโครเวฟ

ช่วงความถี่การใช้งาน
30 Hz - 300 kHz
300 kHz - 3 MHz
3 - 30  MHz
30 - 300  MHz
300 MHz - 3GHz
มากกว่า 3 GHZ
สื่อสารทางทะเล
ส่งคลื่นวิทยุระบบเอเอ็ม
ส่งคลื่นสั้นระหว่างประเทศ
ส่งคลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม
ส่งคลื่นโทรทัศน์และโทรทัศน์เคลื่อนที่
สื่อสารผ่านดาวเทียม


อ้างอิง
 C.Sitthisak.//คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า.//สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2561,/
จากhttp://www.scimath.org/lesson-physics/item/7218-electromagnetics
วิชาการ.คอม.//คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า.//สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2561,/
จากhttp://www.vcharkarn.com/lesson/1037

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รีวิวและวิธีล็อคโฟลเดอร์ด้วยโปรแกรม Folder Lock